วันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

เทคโนโลยี4.0

เทคโนโลยี4.0
                 “ดิจิทัล 4.0” และ “ดิจิทัลไทยแลนด์” เป็นวลีที่คนไทยเริ่มจะได้ยินบ่อยขึ้นในช่วงหลายปีมานี้ หลายคนอาจจะสงสัยว่าหมายถึงอะไร เกี่ยวข้องกับพวกเรายังไง ส่งผลอะไรต่อชีวิตเราบ้าง และประเทศไทยในตอนนี้อยู่ในยุคใด คนไทยมีชีวิตผูกติดกับดิจิทัลมานานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการใช้อินเทอร์เน็ต ซื้อขายออนไลน์ อีคอมเมิร์ซ ทำธุรกรรมการเงินผ่านแอพพลิเคชั่น การสื่อสาร แต่เพียงเท่านี้ยังไม่พอที่จะพาสังคมไทยเข้าสู่ยุคดิจิทัล 4.0 ได้
              ก่อนที่จะศึกษานิยามของ Digital 4.0 เรามาทำความรู้จักยุคแรกๆของโลกดิจิทัลกันก่อน 1.0 ถึง 3.0 คืออะไร มีความแตกต่างกันอย่างไร
digital4.0 timeline

Digital 1.0 เปิดโลกอินเตอร์เน็ต

            ยุคนี้เป็นยุคเริ่มต้นของ “Internet เป็นช่วงเวลาที่กิจกรรมและการดำเนินชีวิตของผู้คนเปลี่ยนจากออฟไลน์ (offline) มาเป็นออนไลน์(online)มากขึ้น เช่น การส่งจดหมายทางไปรษณีย์ก็เปลี่ยนมาเป็นการส่งอีเมล์ E-mail และอีกหนึ่งตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ การถือกำเนิดของเว็บไซต์ Website ที่ทำให้เราเข้าถึงทุกอย่างได้ง่ายขึ้นและทั่วถึง การอัพเดตรวดเร็วตลอด 24 ชั่วโมง การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ได้ส่งผลกระทบครั้งใหญ่และเป็นวงกว้าง การดำเนินกิจกรรมสะดวกและรวดเร็ว เริ่มมีกิจกรรมเชิงพาณิชย์และโฆษณาผ่านเครื่องมือออนไลน์เสมือนกับมีหน้าร้านที่ทุกคนบนโลกจะเห็นเราได้ง่ายขึ้น

Digital 2.0 ยุคโซเชียลมีเดีย

                ต่อยอดจากยุค 1.0 ก็จะเป็นยุคที่ผู้บริโภคเริ่มสร้างเครือข่ายติดต่อสื่อสารกันในโลกออนไลน์ เครือข่ายสังคม Social Network นี้เริ่มจากการคุยหรือแชทกับเพื่อน สมาคม กลุ่มเล็กๆของผู้คนที่ต้องการความสะดวกสบายในการติดต่อสื่อสาร จุดเล็กๆนี้เริ่มพัฒนาและขยายวงกว้างไปสู่การดำเนินกิจกรรมในเชิงธุรกิจ โดยนักธุรกิจส่วนใหญ่มองว่า Social Media เป็นเครื่องมือเชื่อมต่อและสร้างเครือข่ายทางธุรกิจให้แก่พวกเขาได้เป็นอย่างดีด้วยการคลิกเพียงครั้งเดียว อีกทั้งยังช่วยในการพัฒนา Brand วัดผลการดำเนินงานของธุรกิจ ส่งเสริมภาพลักษณ์แบรนด์ เสมือนว่า Social Media เป็นกระบอกเสียงและเวทีเสนองานแก่นักธุรกิจสู่สายตาชาวโลกเป็นอย่างดี เครื่องมือโซเชียลยังสามารถเป็นอำนาจในการต่อรองของผู้บริโภคที่กำลังตัดสินใจเลือกสินค้าและบริการ เนื่องจากมีตัวเลือกและร้านค้าให้เห็นมากขึ้นอีกด้วย

when technology has its own brain

Digital 3.0 ยุคแห่งข้อมูลและบิ๊กดาต้า

                      ยุคแห่งการใช้ข้อมูลที่วิ่งเข้าออกเป็นล้านๆดาต้าให้เป็นประโยชน์ การเติบโตของโซเชียลมีเดียและ E-Commerce จากยุค 2.0 ทำให้เกิดการขยายของข้อมูลอย่างมหาศาล ทุกแพลตฟอร์มไม่ว่าจะเป็น สื่อโซเชี่ยล เว็บเบราวเซอร์ หรือแม้แต่ธุรกิจอย่างธนาคาร โลจิสติกส์ ประกันภัย รีเทล ต่างมีข้อมูลเข้าออกเป็นจำนวนมากในแต่ละวัน และเริ่มมีการนำข้อมูลเหล่านั้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ดังคำกล่าวที่ว่า “ใครมีข้อมูลมาก ก็มีอำนาจมาก”
ข้อมูลถูกนำมาประมวลผล จับสาระ วิเคราะห์ถึงความต้องการของผู้บริโภคเพื่อสร้างสินค้าและบริการที่สามารถตอบสนองโจทย์ของลูกค้าได้ ทุกองค์กรต่างเห็นความสำคัญของการนำบิ๊กดาต้ามาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด แต่การนำบิ๊กดาต้ามาตอบสนองอย่างเรียลไทม์นั้น จำเป็นต้องมีระบบคลาวด์ Cloud Computing มาช่วยอำนวยความสะดวก จัดเก็บข้อมูล เลือกทรัพยากรตามการใช้งาน และทำให้เราสามารถเข้าถึงข้อมูลบนคลาวด์จากที่ใดก็ได้ ผู้ใช้ทุกคนสามารถเข้าถึงระบบ ข้อมูลต่างๆผ่านอินเตอร์เน็ต สามารถจัดการ บริหารข้อมูล และแบ่งปันข้อมูลกับผู้อื่น (Shared Services) ลดต้นทุนและลดความยุ่งยากเพื่อโฟกัสกับงานหลัก เพิ่มความเร็วในการบริการและการทำธุรกิจได้มากขึ้น
บิ๊กดาต้าสามารถนำมาต่อยอดโดยการคิดค้น เฟ้นหา และประยุกต์ใช้ข้อมูลนั้น พัฒนาเป็นแอพลิเคชั่น Application ที่ให้ความสะดวกสบายแก่ผู้บริโภคผ่านทางสมาร์ทโฟนและแท็บเลตอีกด้วย

Digital 4.0 เมื่อเทคโนโลยีมีมันสมอง

                     และเราก็มาถึงยุคที่ความฉลาดของเทคโนโลยีจะทำให้อุปกรณ์ต่างๆสื่อสารและทำงานกันเองได้อย่างอัตโนมัติ เทคโนโลยีในสามยุคแรกที่กล่าวไปเปรียบเสมือนเป็นแขน ขา ให้แก่มนุษย์ เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยเหลือ อำนวยความสะดวก หยิบจับ คำนวณ ประมวลผมให้มนุษย์ มีแขน ขา แต่ไม่มีสมองเป็นของตัวเอง ในยุค 4.0 เทคโนโลยีถูกนำมาพัฒนาต่อยอดเพื่อลดบทบาทของมนุษย์ และเพิ่มศักยภาพของมนุษย์ในการใช้ความคิดเพื่อข้ามขีดจำกัด สร้างสรรค์พัฒนาสิ่งใหม่ๆ โดยจะใช้ชื่อยุคนี้ว่าเป็นยุค Machine-to-Machine เช่น เราสามารถเปิด-ปิด หรือสั่งงานอื่นๆกับเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านตัวเองผ่านแอพลิเคชั่นโดยไม่ต้องเดินไปกดสวิตช์ หรือตัวอย่างที่ถูกนำมาใช้งานจริงแล้วอย่างการพูดคำว่า “แคปเจอร์” กับแอพถ่ายภาพในสมาร์ทโฟน โทรศัพท์ก็จะถ่ายรูปให้อัตโนมัติโดยที่เราไม่ต้องกดถ่ายด้วยซ้ำ หรือแม้แต่เทคโนโลยีซิมูเลชั่น Simulation จำลองสถานการณ์เพื่อฝึกอบรมพนักงาน วางแผนสถานการณ์โดยที่ไม่ต้องเดินทางไปถึงสถานที่จริง หรือเป็นสื่อการเรียนรู้แบบ Interactive เป็นต้น
digital4.0-today
             เทคโนโลยีและโลกดิจิทัลมักไปไว และเคลื่อนที่ไม่มีหยุด องค์กรจึงจำเป็นต้องปรับตัวให้ทันตามเทรนด์ พัฒนานวัตกรรมเพื่อต่อยอดธุรกิจบนการแข่งขันที่รวดเร็วและรอบด้าน จาก SME ให้กลายเป็น Smart Enterprise ที่มีศักยภาพสูงขึ้น จากบริการธรรมดาให้กลายเป็น High Value Service เพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนของธุรกิจ
แหล่งอ้างอิง:http://www.wice.co.th/2018/01/11/digital-4-0-technology/

ฝุ่นPM2.5



                                                           ฝุ่นPM2.5



ฝุ่นละออง PM 2.5 คือ...
                ฝุ่นละออง PM 2.5 คือ ฝุ่นที่มีขนาดเล็กมากๆๆ เล็กกว่าเส้นผ่าศูนย์กลางเส้นผมเราถึง 25 เท่า ยิ่งฝุ่นมีขนาดเล็กเท่าไหร่ เมื่อเราหายใจเอาฝุ่นเข้าไป มันก็จะเข้าปอดเราลึกมากเท่านั้น (ฝุ่นยิ่งเล็ก ยิ่งเข้าลึก)
          เมื่อฝุ่น PM 2.5 เข้าไปในปอด ปอดก็จะป้องกันตัวเองด้วยการห่อหุ้มฝุ่นเพื่อกำจัดออก จึงทำให้เกิดเป็นกลุ่มผังพืดในปอด ถ้าสะสมเป็นเวลานานก็จะทำให้เกิดโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจได้ เช่น โรคปอดอักเสบ และอาจก่อให้เกิดมะเร็งได้
รูปภาพที่เกี่ยวข้อง



ไอฝุ่นเล็ก PM 2.5 ขนาดนี้ มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไรกัน?
                          มลพิษทางอากาศเหล่านี้ ก็มาจากการจราจร ควันเสียรถยนต์ อุตสาหกรรม และการเผา ประกอบกับเกิดสภาพอากาศนิ่ง ลมสงบ และชั้นอากาศผกผันใกล้พื้นดิน ทำให้มลพิษทางอากาศเกิดการสะสมตัวในปริมาณมาก
              โดยปรากฏการณ์นี้ จะพบเป็นบางวันในช่วงฤดูหนาว ถึงต้นฤดูร้อน ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ระดับ PM 2.5 สูงขึ้นผิดปกติในช่วงที่ผ่านมา
                                                  à¸£à¸¹à¸›à¸ à¸²à¸žà¸—ี่เกี่ยวข้อง

แล้วกลุ่มเสี่ยงล่ะ? 
                   ที่จริงแล้ว ฝุ่นละออง PM 2.5 นี้เป็นอันตรายกับทุกๆคน เพราะมันจะผ่านเข้าขนจมูก โพรงจมูก ลำคอ หลอดลมใหญ่ จนกระทั่งหลุดเข้าไปในถุงลมและปอดของเราอย่างง่ายดาย
                   จะก่อให้เกิดอาการไอ จาม มีน้ำมูก เจ็บคอ มีเสมหะ หายใจลำบาก เสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดในสมอง โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคหัวใจขาดเลือด โรคมะเร็งปอด โรคติดเชื้อเฉียบพลันในระบบทางเดินหายใจ
               รวมถึงทำลายระบบประสาทจนเป็นอัมพาต เพราะสารปรอทที่อยู่ใน PM 2.5 ซึ่งมาจากกระบวนการเผาไหม้น้ำมันและถ่านหิน จะไปทำลายระบบประสาททำให้เราเสี่ยงต่อการเป็นอัมพาตได้
                                       
                                                       

                
การป้องกันล่ะ? 
หน้ากากอนามัยแบบไหนที่ป้องกัน ฝุ่นละออง PM 2.5 ได้
           หลักง่ายๆในการเลือกหน้ากากอนามัย ให้เราสังเกตุหน้าซองที่ระบุว่า สามารถป้องกันฝุ่นได้? และป้องกันฝุ่นผงขนาดเท่าไหร่บ้าง?
          แต่ที่กรองป้องกันฝุ่น PM 2.5 ❌ ไม่ได้แน่นอนเลย คือ




ขอบคุณภาพจาก เฟซบุ๊ก Teed Udomporn

1. หน้ากากแบบผ้า : ไม่มีคุณสมบัติกรองฝุ่นได้เลย ใส่ไปหายใจฝุ่นก็เข้าไปอยู่ดี
2.หน้ากากอนามัยแบบทั่วไป : กรองฝุ่นขนาด PM 3 ได้ แต่กรองฝุ่น PM 2.5 ที่เล็กกว่าไม่ได้
3.หน้ากากอนามัยพร้อมชั้นกรองคาร์บอน : หน้ากากแบบนี้ใช้ได้ดีในบริเวณที่มีควันรถยนต์ เช่น กรุงเทพฯ ซึ่งสามารถกรองฝุ่นขนาด PM 3 ได้ แต่กรองฝุ่น PM 2.5 ไม่ได้ เช่นกัน


***ส่วนหน้ากากที่มีประสิทธิภาพ สามารถป้องกันฝุ่น PM 2.5ได้ คือ

1. หน้ากากกรองอนุภาค รุ่น R95 เป็นหน้ากากที่คนทำงานเกี่ยวกับพ่นสีหรือไอระเหยใช้กัน ป้องกันฝุ่นที่มีขนาดเล็กกว่า PM 0.3 ยังได้

2. หน้ากากกรองอนุภาคเส้นใยไฟฟ้าสถิต ป้องกันฝุ่นที่มีขนาดเล็กกว่า PM 0.3 ได้เหมือนกัน แถมยังป้องกัน ฟูมโลหะ ที่เกิดจากการเชื่อมตะกั่วบัดกรีได้อีกด้วย

สำหรับ 2 ข้อแรก คุณสมบัติอาจจะเกิดความจำเป็นสำหรับคนทั่วไป ที่ไม่ได้ทำงานเฉพาะทาง พ่นสี ไอระเหย งานเชื่อม เพราะฉะนั้นหน้ากากที่แนะนำให้ควรใช้คือ




ขอบคุณภาพจาก เฟซบุ๊ก Teed Udomporn

3. หน้ากากป้องกันฝุ่นละออง ที่ระบุว่าเป็นเส้นใยประจุไฟฟ้าสถิต ป้องกันฝุ่นที่มีขนาดเล็กกว่า PM 0.3 ละออง เชื้อโรค และฟูมโลหะ ป้องกันได้ถึง 95% มีมาตรฐาน NIOSH หาซื้อง่ายตามห้างสรรพสินค้า หรือห้างที่มีอุปกรณ์ช่างขาย ราคา 30-50 บาท มีให้เลือกใช้หลายยี่ห้อ

แต่ๆๆ ที่สำคัญ‼️

การใส่หน้ากากอนามัยไม่ควรใช้นานเกินไป หากมีสภาพที่สกปรกหรือหายใจแล้วเริ่มได้กลิ่นภายนอก แสดงว่าอาจจะเสื่อมสภาพแล้วควรเปลี่ยนโดยเร็ว


 แล้วแบบนี้ หน้ากากที่ใช้แล้ว ควรจะเปลี่ยนตอนไหน?

เรื่องนี้ ขึ้นอยู่กับความถี่ที่เราใช้ หากต้องใส่บ่อยๆ หรือใส่ทุกวัน ก็ควรเปลี่ยนบ่อย หรือถ้าเราใช้แล้วรู้สึกว่า หายใจสะดวกกว่าตอนใส่แรกๆ แบบนี้ต้องเปลี่ยน เพราะถ้าเราหายใจสะดวกขึ้นแสดงว่าหน้ากากเริ่มเสื่อม การกรองลดคุณภาพหายใจไปฝุ่นก็เข้าปอดเราไม่ต่างจากการใส่หน้ากากผ้าธรรมดาๆ นั่นเอง

 แต่ทางที่ดี ควรหลีกเลี่ยงการออกนอกอาคารหรือที่อยู่อาศัยหากไม่จำเป็น และ
- งดสูบบุหรี่
- ดื่มน้ำสะอาดมากๆ
- ล้างมือและหน้าบ่อยๆ
- รักษาความสะอาดของที่อยู่อาศัย
- เมื่อมีอาการผิดปกติควรรีบไปพบแพทย์
- ผู้ป่วยโรคหอบหืดและผู้ป่วยโรคหัวใจ ควรพกยาติดตัวไว้ตลอดเวลา




ขอบคุณข้อมูลจาก กรมควบคุมโรค
                               www.bugaboo.tv/watch/367233




ประวัติภาษาไพทอน


โลโก python

                                      ประวัติภาษาไพทอน

ภาษาไพทอน (Python programming language) เป็นภาษาโปรแกรมแบบอินเทอร์พรีเตอร์ ที่สร้างโดย กีโด ฟาน รอสซัม (Guido van Rossum) ในพ.ศ. 2533 ปัจจุบันดูแลโดย มูลนิธิซอฟต์แวร์ไพทอน

จุดเด่นของภาษาไพทอน
ไพทอนเป็นภาษาสคริปต์ ทำให้ใช้เวลาในการเขียนและคอมไพล์ไม่มาก ทำให้เหมาะกับงานด้านการดูแลระบบ (System administration) เป็นอย่างยิ่ง ได้มีการสนับสนุนภาษาไพทอนโดยเป็นส่วนหนึ่งของระบบปฏิบัติการยูนิกซ์, ลินุกซ์ และสามารถติดตั้งให้ทำงานเป็นภาษาสคริปต์ของวินโดวส์ ผ่านระบบ Windows Script Host ได้อีกด้วย และ Python เองก็ได้ถูกนำมาพัฒนา Web application อย่างแพร่หลาย ซึ่งมี Framework สำหรับทำเว็บของ Python ที่ได้รับความนิยมอย่างมากคือ Django

ไวยากรณ์อ่านง่าย
ไวยากรณ์ของไพทอนได้กำจัดการใช้สัญลักษณ์ที่ใช้ในการแบ่งบล็อกของโปรแกรม และใช้การย่อหน้าแทน ทำให้สามารถอ่านโปรแกรมที่เขียนได้ง่าย นอกจากนั้นยังมีการสนับสนุนการเขียน docstring ซึ่งเป็นข้อความสั้นๆ ที่ใช้อธิบายการทำงานของฟังก์ชัน, คลาส, และโมดูลอีกด้วย

ความเป็นภาษากาว
ไพทอนเป็นภาษากาว (Glue Language) ได้อย่างดีเนื่องจากสามารถเรียกใช้ภาษาโปรแกรมอื่นๆ ได้หลายภาษา ทำให้เหมาะที่จะใช้เขียนเพื่อประสานงานโปรแกรมที่เขียนในภาษาต่างกันได้

ไลบรารีในไพทอน
การเขียนโปรแกรมในภาษาไพทอนโดยใช้ไลบรารีต่าง ๆ เป็นการลดภาระของโปรแกรมเมอร์ได้เป็นอย่างดี ทำให้โปรแกรมเมอร์ไม่ต้องเสียเวลากับการเขียนคำสั่งที่ซ้ำๆ เช่นการแสดงผลข้อมูลออกสู่หน้าจอ หรือการรับค่าต่าง ๆ
       ไพทอนมีชุดไลบรารีมาตรฐานมาให้ตั้งแต่ติดตั้งอินเตอร์พรีเตอร์ นอกจากนั้นยังมีผู้พัฒนาจากทั่วโลกดำเนินการพัฒนาไลบรารีซึ่งช่วยอำนวยความ สะดวกในด้านต่าง ๆ โดยจะเผยแพร่ในรูปแบบของแพ็คเกจต่าง ๆ ซึ่งสามารถติดตั้งเพิ่มเติมได้อีกด้วย
          สุดท้าย คือ ภาษาไพทอน ทำงานเร็วที่สุดเมื่อเทียบกับภาษา script ด้วยกัน เช่น php, jsp, asp จะพูดว่า ไพทอน เขียนน้อยได้งานมาก ทำงานเร็วก็ไม่ผิดนัก

ที่มา: wikipedia.org
          www.mindphp.com/บทเรียนออนไลน์/83-python/2393-ประวัติ-ภาษา-python-ไพทอน.html

วันจันทร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2561

Final

เทคนิคการสอบจิงง!!!!!!!!!!!!
1. จับเวลาจริง!
       ทำข้อสอบเก่าอย่ามัวแต่จดจ้องอยู่กับข้อสอบ แต่ควรจับเวลาในการทำข้อสอบด้วย การสอบแต่ละสนาม ใช้เวลาไม่เท่ากัน จำให้ขึ้นใจเลยก็ดีนะว่าสอบอะไรใช้เวลาเท่าไหร่ อย่างการสอบโอเน็ทที่จะถึงนี้ ใช้เวลาสอบวิชาละ 2 ชั่วโมง ก็หยิบนาฬิกามาตั้งไว้หน้าโต๊ะเลย แรกๆ ตั้งจับเวลาไปก่อนก็ได้ค่ะ นับถอยหลัง 2 ชั่วโมงไปเลย จะได้ไม่เสียสมาธิหันไปดูนาฬิกาบ่อยๆ แต่พอทำไปเรื่อยๆ ก็ไม่ต้องจับเวลา ให้เราควบคุมเวลาด้วยตัวเอง
       การทำข้อสอบแบบกำหนดเวลาจริงแบบนี้ จะทำให้เราคุ้นกับช่วงเวลาในการทำข้อสอบ วิชาไหนต้องคิดเยอะ วิชาไหนต้องเน้นอ่านไว เราจะได้รู้ด้วยตัวเอง
2. ปริ้นกระดาษคำตอบให้เหมือนจริง
       นอกจากตัวข้อสอบที่ควรปริ้นท์ไว้ล่วงหน้าแล้ว ก็ปริ้นตัวกระดาษคำตอบมาด้วยเลย เว็บ สทศ. มีมาให้โหลดทุกปีค่ะ อย่าลืมเช็กรูปแบบกระดาษคำตอบกับตัวคำถามด้วยว่าเหมือนกันหรือเปล่า แต่ถ้าหาไม่ได้จริงๆ หรือ เป็นข้อสอบของสถาบันกวดวิชาหรือของโรงเรียน ก็ทำกระดาษคำตอบขึ้นมาเองได้ แบบเขียนตอบ ไล่ 1-100 ตามจำนวนข้อก็ได้ค่ะ อย่าลืมเขียนชื่อวิชา และ ชื่อ สกุล เลขบัตรประชาชนของเราไว้ด้วยนะ เอาให้เหมือนกับสอบจริงเลย
3. จำลองบรรยากาศให้เหมือนวันสอบจริง!
      ข้อสอบ กระดาษคำตอบ และจับเวลาจริงแล้ว อย่าละเลยเรื่องการจำลองบรรยากาศด้วย ที่หลายๆ คนพลาดก็เพราะยังทำตามใจตัวเองอยู่ เช่น นอนทำข้อสอบ (ก็จับเวลาแล้วนี่!), วิ่งไปเข้าห้องน้ำ, สอบไปกินขนมไป ฯลฯ มาถึงขั้นนี้แล้ว อดทนอีกนิดเพื่อให้บรรยากาศเหมือนการสอบมากที่สุด พี่มิ้นท์ลองลิสต์มาได้ประมาณนี้ค่ะ
         - เข้าห้องน้ำให้เรียบร้อยก่อนเริ่มสอบ
         - ใส่นาฬิกาเข้าห้องสอบ เพื่อดูเวลาจากข้อมือตัวเอง (และให้ตัวเองชินที่ต้องมีนาฬิกาบนข้อมือ)
         - นั่งทำบนโต๊ะ เคลียร์โต๊ะให้เรียบร้อย
         - เตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม เท่าที่จำเป็น
         - ไม่ต่อรองเวลา ไม่อู้ ง่วงก็ไปนอนไม่ได้ ทำไม่ทันก็ห้ามต่อเวลา
         - ปิดล็อกห้อง (ไม่ให้คนอื่นเข้ามารบกวน) ปิดมือถือ ปิดคอมฯ

4. วงกลมหน้าข้อเอาไว้ ในเรื่องที่เราไม่คุ้นเลย
       มาถึงขั้นตอนทำข้อสอบบ้าง ให้นึกเสมอว่าเราอยู่ในห้องสอบ ทำข้อสอบจริงอยู่ ข้อไหนที่ทำไม่ได้ให้ข้ามไปก่อน แนะนำเพิ่มเติมคือ ให้วงกลมหน้าข้อที่ทำไม่ได้เอาไว้ก่อน ไม่ใช่แค่เพื่อกลับมาทำทีหลัง แต่เอาไว้หลังสอบ จะได้กลับมาดูว่าคำถามแนวไหน เรื่องไหน ที่เราตอบไม่ได้ จะได้มีเวลากลับไปอ่านทวนอีกรอบ

   5. อย่าโกงตัวเอง
       พี่มิ้นท์มั่นใจว่า ก่อนทำข้อสอบ ลึกๆ น้องก็อยากทำตามกติกาทุกอย่าง แต่เมื่อรู้ว่านี่คือการซ้อม หลายคนก็หักห้ามใจไม่ไหว เช่น เจอบางข้อที่คุ้นๆ คุ้นมากๆ ลังเลจนเหลือ 2 ช้อยส์ เอาน่ะ..ขอหน่อย แอบไปเปิดดูเฉลย หรือ เปิดดูหนังสือซะงั้น เพราะคิดในใจว่า ข้อนี้ถือว่าเรารู้นะ แต่แค่ไม่มั่นใจเฉยๆ - -! มันจะไปมีประโยชน์อะไร ถ้าเราโกงตัวเอง เพราะในห้องสอบถ้าไม่รู้ก็คือไม่รู้ ไม่มั่นใจก็คือไม่มั่นใจ ไม่มีโอกาสเปิดเฉลยแบบนี้นะคะ ทำตามกติกาให้ครบทุกอย่าง แล้วเราจะภูมิใจในตัวเองค่ะ ไม่มั่นใจข้อไหนก็ดึงสัญชาตญาณตัวเองออกมาให้ได้มากที่สุด

   6.  อ่านและทวน ส่วนที่พลาดไป
       ถ้ามีเฉลยอยู่ในมือ ให้กลับมาดูหลังจากทำข้อสอบเสร็จและตรวจเรียบร้อยแล้ว ซึ่งในข้อที่ 4 พี่มิ้นท์บอกว่าให้วงหน้าข้อที่ไม่มั่นใจไว้ นั่นแหละค่ะ หลังทำเสร็จให้กลับไปอ่านเนื้อหาเรื่องนั้นอีกรอบ การที่เราไม่มั่นใจแสดงว่าเรายังไม่เป๊ะพอนั่นเอง และข้อไหนที่ตอบผิดก็ดูเฉลยซะว่าทำไมถึงผิด ผิดเพราะสะเพร่า หรือ เข้าใจผิด และแก้ไขให้ตรงจุดค่ะ อย่าลืมกลับมาทำอีกรอบด้วยนะ ที่สำคัญ ห้ามทำให้คะแนนต่ำกว่าเดิม ไม่อย่างนั้นแสดงว่ามาตรฐานเราแย่ลงค่ะ
 7. จดสถิติทุกวิชา
       อาจจะดูวุ่นวายไปหน่อย แต่เชื่อเถอะว่า ทำแล้วเห็นผลค่ะ ทำข้อสอบเสร็จแต่ละวิชา จดไว้ว่าใช้เวลาไปเท่าไหร่ เฉลี่ยข้อละกี่นาที จดไว้เพื่อเป็นสถิติของตัวเอง บางครั้งเราทำข้อสอบหลายฉบับ เวลาอาจจะไม่เท่ากันค่ะ ถ้าเป็นวิชาเดียวกัน แต่รอบหลังใช้เวลามากกว่า จะได้ดูได้ว่าเราช้าเพราะอะไร ยากขึ้นหรือเปล่า จะได้เป็นมาตรฐานของตัวเองต่อไปว่า ถ้าข้อสอบยาก-ง่าย จะใช้เวลาประมาณไหน

   8. ทำให้เป็นนิสัย
       นำเทคนิคไป 7 ข้อเนื้อๆ แล้ว ข้อนี้สำคัญมาก หลายคนมาเน้นทำโจทย์สัปดาห์สุดท้ายด้วยเหตุผลยอดฮิตคือ อ่านไม่ทันแล้ว! เดี๋ยวค่ะ! การทำโจทย์เป็นทางลัดในการเตรียมตัวสอบก็จริง แต่มันจะได้ประโยชน์มากที่สุดก็ต่อเมื่อ เราฝึกทำโจทย์ตอนเราพร้อมและมีความรู้
        จึงอยากปรับทัศนคติของน้องๆ ใหม่ว่า เราควรอ่านหนังสือควบคู่ไปกับการทำโจทย์ และควรทำให้เป็นนิสัย ฝึกเรื่อยๆ ข้อสอบ 1 ชุด สามารถทำได้ 2-3 รอบเลยนะคะ เสร็จ 1 รอบ ดูเฉลย กลับไปอ่านทบทวนเรื่องที่ยังไม่เก็ท แล้วค่อยกลับมาสอบใหม่ แบบนี้น่าจะเวิร์คกว่าเนอะ

   9. คนเดียวมันเหงา เอาเพื่อนมาด้วย
       จัดสอบทั้งที ให้ได้บรรยากาศเพิ่มเติม ชวนเพื่อนมาเลยค่ะ อาจจะจัดสอบกันทุกอาทิตย์ก็ได้ถ้าฟิตพอ นัดแนะกับเพื่อนให้เรียบร้อยว่าวันหยุดนี้จะสอบวิชาไหน บ้านใคร จัดสถานที่สอบให้เหมือนที่บอกในข้อ 1-5 การมีเพื่อนสอบ ทำให้เราซึมซับบรรยากาศได้อีกแบบ ซึ่งจะเสมือนจริงมากกว่า ต้องควบคุมสมาธิของตัวเองมากกว่าเดิมด้วย 
แหล่งที่มา:https://www.dek-d.com/tcas/44226/
เส้นทางสู่อนาคต
อนาคตที่อยากเป็นคือเภสัชกร
                                 คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ด้วยความเป็นคณะสายวิทย์ ส่วนใหญ่คะแนนที่ใช้ในแต่ละรอบก็จะเป็นคะแนนทางวิทยาศาสตร์ ทั้ง GAT PAT 2 หรือวิชาสามัญที่เก็บครบทั้ง 7 วิชาหลัก แต่ก็ยังมีการสอบอื่นๆ ที่น้องๆ ควรรู้เพื่อเตรียมตัวในการสอบเข้าคณะเภสัชศาสตร์ด้วย ดังนี้

     
ทดสอบ Icon GAT
     
ทดสอบ Icon PAT 1, PAT 2
     
ทดสอบ Icon วิชาสามัญ 7 วิชาหลัก
     
ทดสอบ Icon วิชาเฉพาะแพทย์ กสพท (เฉพาะสถาบันที่เข้าร่วม กสพท)
     
ทดสอบ Icon วิชาเฉพาะที่มหาวิทยาลัยจัดสอบเอง
     
ทดสอบ Icon เกรดเฉลี่ย (ทั้ง GPAX และ GPA)
     
ทดสอบ Icon ผลสอบภาษาอังกฤษ (TOFEL, IELTS, CU-TEP, TU-GET)
     
ทดสอบ Icon Portfolio (ตามเงื่อนไขโครงการที่สมัคร)

วันจันทร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2561

กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม

1.ขั้นระบุปัญหา     
     ปัจจุบันผู้พิการทางขาในประเทศมีจำนวนมากทั้งจากทหารตำรวจที่ประสบอุบัติเหตุระหว่างปฏิบัติหน้าที่รวมถึงผู้พิการทั่วไป จึงมีความจำเป็นที่จะต้องใช้ขาเทียมในการอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันแต่ขาเทียมนั้นมีราคาสูงมาก จึงได้คิดค้นขาเทียมจากวัสดุเหลือใช้ เพื่อลดต้นทุนในการผลิต

2.ขั้นรวบรวมข้อมูลและแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับปัญหา
   งานนี้เป็นส่วนหนึ่งของการออกแบบขาเทียม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้พิการ ในด้านความแข็งแรง ทนทานและความปลอดภัยระหว่างการใช้งาน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์หาความต้องการขาเทียม เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาการออกแบบขาเทียม ให้มีลักษณะการใช้งานตรงตามความต้องการของผู้พิการ ช่วยเสริมสร้างสุขอนามัย รวมถึงเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ผู้พิการ ซึ่งได้น าเทคนิคการกระจายหน้าที่เชิงคุณภาพ
แหล่งที่มา : http://www.dms.eng.su.ac.th/filebox/FileData/QMS008.pdf

3.ขั้นออกแบบวิธีการแก้ปัญหา
     สร้างแบบจำลองขาเทียมจากวัสดุอุปกรณ์ที่หาได้ทั่วไป














4.ขั้นวางแผนและดำเนินการแก้ปัญหา
   1.ออกแบบนวัตกรรมที่จะทำ
   2.จัดหาอุปกรณ์

   3.วัดขนาดและตัดกระดาษลัง

   4.ประกอบเป็นรูปร่าง
   5.ทาสี ตกแต่งเก็บลายละเอียด
5 ขั้นทดสอบ



6.ขั้นนำเสนอวิธีการแก้ปัญหา ผลการแก้ปัญหา หรือชิ้นงาน



วันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ประวัติรัชการที่10

                      

พระนามเต็ม : สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร สิริกิตยสมบูรณสวางควัฒน์ วรขัตติยราชสันตติวงศ์ มหิตลพงศอดุลยเดช จักรีนเรศยุพราชวิสุทธิ  สยามมกุฎราชกุมาร
พระราชประวัติพระราชสมภพ
       สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เป็นพระราชโอรสพระองค์เดียวในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชสมภพ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต เมื่อวันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2495 เวลา 17:45 น.
      มีพระเชษฐภคินี คือ ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี และพระขนิษฐภคินีสองพระองค์คือ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี
       พระนาม "วชิราลงกรณ" นั้น สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ทรงตั้งถวาย มาจาก "วชิรญาณะ" พระนามฉายาขณะผนวชในพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฎ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ผนวกกับ "อลงกรณ์" จากพระนามในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
       มีความหมายว่า "ทรงเครื่องเพชรนิลจินดา" หรืออาจแปลว่า "อสุนีบาต" 
พระราชพิธีสมโภชเดือนและขึ้นพระอู่         พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดพระราชพิธีสมโภชเดือนและขึ้นพระอู่ขึ้น ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ในระหว่างวันที่ 14-15 กันยายน พ.ศ. 2495 โดยสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ทรงเป็นประธานเจริญพระพุทธมนต์ในเย็นวันที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2495
     เช้าวันรุ่งขึ้น (15 กันยายน) จึงมีพิธีสงฆ์และพิธีพราหมณ์ในห้องพิธี เริ่มด้วยพอถึงพระฤกษ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงจรดพระกรรบิดกริบพระเกศา ทรงเจิม ทรงผูกด้ายพระขวัญ พระสงฆ์สวดชัยมงคลคาถา พราหมณ์ประกอบพิธีลอยกุ้ง ปลาทอง มะพร้าวเงิน มะพร้าวทองลงในพระขันสาคร แล้วพระสงฆ์ถวายอดิเรก ถวายพระพรลา 
       พระมหาราชครูเชิญเสด็จขึ้นพระอู่และเห่กล่อมเปิดศิวาลัยไกรลาศตามประเพณีพิธีของพราหมณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงวางพระราชภัณฑ์ลงในพระอู่ตามพระราชประเพณีแล้ว พระมหาราชครูเชิญสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ ฯ ขึ้นพระอู่แล้ว พระบรมวงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาทเวียนเทียนครบรอบตามประเพณี สภาวัฒนธรรมแห่งชาติได้จัดขับไม้มโหรีขับกล่อมถวายพระพรในวาระนี้ด้วย ในการนี้มีการถ่ายทอดเสียงในพระราชพิธีทางวิทยุไปทั่วประเทศ
สมเด็จพระยุพราช
        เมื่อมีพระชนมายุครบ 20 พรรษา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โปรดให้สถาปนาสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ ขึ้นเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2515 มีพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า "สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร สิริกิตยสมบูรณสวางควัฒน์ วรขัตติยราชสันตติวงศ์ มหิตลพงศอดุลยเดช จักรีนเรศยุพราชวิสุทธิ สยามมกุฎราชกุมาร"
การศึกษา         สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงได้รับการศึกษาระดับอนุบาลศึกษาที่พระที่นั่งอุดร พระราชวังดุสิต และทรงเข้ารับการศึกษาระดับประถมศึกษาและระดับมัธยมศึกษา โรงเรียนจิตรลดา ระหว่างพุทธศักราช 2499 - 2505 ที่ประเทศอังกฤษระหว่างพุทธศักราช 2509 - 2513 หลังจากนั้นได้ทรงศึกษาระดับเตรียมทหารที่โรงเรียนคิงส์ นครซิดนี่ย์ ประเทศออสเตรเลีย แล้วเข้ารับการศึกษาระดับอุดมศึกษา ทรงได้รับปริญญาอักษรศาสตร์บัณฑิต (การศึกษาด้านทหาร)คณะการศึกษาด้านทหาร 
        จากมหาวิทยาลัยนิวเซาเวลล์ ประเทศออสเตรเลีย เมื่อ พ.ศ. 2519 นอกจากนี้ ยังทรงศึกษาที่โรงเรียนเสนาธิการทหารบกหลักสูตรประจำชุดที่ 5-6 ระหว่าง พ.ศ. 2520-2521 และทรงได้รับปริญญานิติศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เมื่อ พ.ศ. 2530 ครั้งถึง พ.ศ.2533 ทรงได้รับการศึกษา ณ วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรแห่งสหราชอาณาจักรด้วย
       เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2515 ปวงชนชาวไทยต่างมีความปลาบปลื้มปิติยินดีเป็นอย่างยิ่งอีกครั้งหนึ่ง เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้มีพระบรมราชโองการประกาศสถาปนา สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ ขึ้นดำรงพระอิสริยยศ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร มีพระนามาภิไธย ตามจารึกพระสุพรรณบัฎว่า 
      “สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร สิริกิตยสมบูรณสวางควัฒฯ วรขัตติยราชสันตติวงศ์ มหิตลพงศอดุลยเดช จักรีนเรศยุพราชวิสุทธิ สยามมกุฎราชกุมาร” 
       ในมงคลวาระนั้น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ได้ถวายสัตย์ปฎิญาณในการพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ซึ่งแสดงถึงน้ำพระราชหฤทัยที่ทรงมุ่งมั่นจะบำเพ็ญพระราชกรณียกิจ เพื่อชาติบ้านเมือง และประชาชนชาวไทย เป็นที่ซาบซึ้งประทับใจพสกนิกรอย่างยิ่ง ดังความว่า
     “ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานกระทำสัตย์ปฎิญาณสาบานต่อประเทศชาติและประชาชนชาวไทยเฉพาะพระพุทธ พระธรรม พระสงค์ เฉพาะพระพุทธมหามณีรัตนปฎิมากรท่ามกลางสันนิบาตนี้ว่า
ข้าพเจ้าผู้เป็น สยามมกุฎราชกุมาร จะรักษาเกียรติยศและอริยศักดิ์ ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานไว้ด้วยชีวิต จะภักดีต่อชาติบ้านเมือง จะซื่อสัตย์ต่อประชาชน จะปฏิบัติภาระหน้าที่ทุกอย่าง โดยเต็มกำลังสติปัญญาความสามารถ และโดยความเสียสละ เพื่อความเจริญสงบสุขและความมั่นคงไพบูลย์ของประเทศไทย จนตราบเท่าชีวิตร่างกายจะหาไม่”

        บัดนี้กาลเวลาผ่านไป ได้เป็นที่ประจักษ์ว่า ตลอดระยะเวลานับแต่ยังทรงพระเยาว์ตราบจนปัจจุบัน สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร ได้ทรงยึดมั่นในพระปฎิญญาทรงพระวิริยะอุตสาหะ มุ่งมั่นปฎิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการ เพื่อประเทศชาติและประชาชนชาวไทย โดยมิได้ย่อท้อ
        ดังปรากฎว่า สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ได้ทรงเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในการบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่อาณาประชาราษฎร์ เมื่อยังทรงพระเยาว์ ได้โดยเสด็จพระบรมชนกนาถและสมเด็จพระบรมราชชนนี ไปในการเยี่ยมราษฎรในภูมิภาคต่างๆ ของประเทศตลอดมา 
          จึงทรงสามารถสั่งสมพระประสบการณ์เกี่ยวกับบ้านเมืองและราษฎร ดังนั้น จึงทรงปฏิบัติพระภารกิจได้เป็นผลสำเร็จลุล่วง นับตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ เช่น เมื่อพระชนมายุ 11 พรรษา ได้ทรงนำกองลูกเสือสำรองโรงเรียนจิตลดาเข้าร่วมพิธีสวนสนาม ลูกเสือไทย ณ สนามกีฬาแห่งชาติ
พิธีอภิเษกสมรสสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับ
หม่อมหลวงโสมสวลี กิติยากร (ปัจจุบัน ทรงพระนามว่า พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ) เมื่อวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2520
นางสาวยุวธิดา ผลประเสริฐ (หรือ หม่อมสุจาริณี มหิดล ณ อยุธยา ปัจจุบันคือ คุณสุจาริณี วิวัชรวงศ์)
นางสาวศรีรัศมิ์ อัครพงศ์ปรีชา (หรือ หม่อมศรีรัศมิ์ มหิดล ณ อยุธยา ปัจจุบันทรงพระนามว่า พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ) เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงมีพระราชธิดา ที่ประสูติแต่ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ 1 พระองค์ คือ
* พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภาประสูติเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2521 ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต
ทรงมีพระราชโอรสพระราชธิดาอีก 1 พระองค์ กับ 4 องค์ ที่ประสูติแต่ คุณสุจาริณี วิวัชรวงศ์
* หม่อมเจ้าจุฑาวัชร มหิดล (ท่านอ้วน) ประสูติเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2522 (ปัจจุบัน คือ คุณจุฑาวัชร วิวัชรวงศ์)
* หม่อมเจ้าวัชรเรศร มหิดล (ท่านอ้น) ประสูติเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2524 (ปัจจุบัน คือ คุณวัชร วิวัชรวงศ์ )
* หม่อมเจ้าจักรีวัชร มหิดล (ท่านอ่อง) ประสูติเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2526 (ปัจจุบัน คือ คุณจักรี วิวัชรวงศ์ )
* หม่อมเจ้าวัชรวีร์ มหิดล (ท่านอิน) ประสูติเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2528 (ปัจจุบัน คือ คุณวัชรวีร์ วิวัชรวงศ์ )
* หม่อมเจ้าหญิงบุษย์น้ำเพชร มหิดล (หรือ หม่อมเจ้าหญิงสิริวัณวรี มหิดล ปัจจุบันทรงพระนามว่า พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์)
และทรงมีพระราชโอรสที่ประสูติแต่ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ 1 พระองค์ คือ
* พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ
      เมื่อทรงพระเจริญวัยได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจด้านต่างๆ นานัปการ ทั้งที่ทรงปฏิบัติแทนพระองค์ และทรงปฏิบัติในส่วนพระองค์เอง พระราชกรณียกิจทั้งปวงล้วนมีการสร้างสรรค์ความผา สุขสงบแก่ประชาชน นำความเจริญไพบูลย์และความมั่นคงมาสู่ประเทศ เช่น ด้านการแพทย์และสาธารณสุข การศึกษา การศาล การสังคมสงเคราะห์ การพระศาสนา การต่างประเทศ และการศึกษา ฯลฯ
ด้านการแพทย์ และการสาธารณสุข       ในด้านการแพทย์ และการสาธารณสุขนั้น ทรงตระหนักว่า สุขภาพพลานามัยอันดีของประชาชนเป็นปัจจัยสำคัญของการสร้างสรรค์ทรัพยากรบุคคลอันมีคุณภาพไว้เป็นพลังในการพัฒนาประเทศ จึงทรงสนพระราชหฤทัยในการประกอบพระราชกรณียกิจด้านการแพทย์และสาธารณสุข
       เช่น เมื่อรัฐบาลได้น้อมเกล้าฯถวายโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช เนื่องในพระราชพิธีอภิเษกสมรสจำนวน 21 แห่ง ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ พระองค์ก็ได้ทรงพระอุตสาหะเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมโรงพยาบาลสม่ำเสมอ พระราชทานพระราชทรัพย์สนับสนุนให้มีอุปกรณ์การแพทย์ เครื่องมือเครื่องใช้ที่ทันสมัยเพื่อสามารถให้บริการที่ดีแก่ประชาชน
       และเมื่อ พ.ศ. 2537 ทรงรับเป็นประธานกรรมการอำนวยการจัดสร้างอาคารศูนย์โรคหัวใจ สมเด็จพระบรมราชินีนาถ เป็นต้น
ในด้านการศึกษา สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงทราบดีว่าเยาวชนในถิ่นทุรกันดารยังด้อยโอกาสในการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ก่อตั้งโรงเรียนมัธยมศึกษาในถิ่นทุรกันดาร 6 โรงเรียน
      ได้แก่โรงเรียนมัธยมพัชรกิติยาภา จังหวัดนครพนม กำแพงเพชร สุราษฎร์ธานี โรงเรียนมัธยมสิริวัณวรี จังหวัดอุดรธานี สงขลา และ ฉะเชิงเทรา ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงวางศิลาฤกษ์เอง ทรงรับโรงเรียนไว้ในพระราชูปถัมภ์ พระราชทานวัสดุอุปกรณ์การศึกษาอันทันสมัย
      เช่น คอมพิวเตอร์ โทรทัศน์ วิดีทัศน์ พระราชทานคำแนะนำ และทรงส่งเสริมให้โรงเรียนดำเนินโครงการอันเป็นประโยชน์แก่นักเรียน เช่น โครงการอาชีพอิสระ เพื่อให้เยาวชนใช้ความรู้ประกอบอาชีพเลี้ยงตนและครอบครัวได้เมื่อจบการศึกษา ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมโรงเรียน ทรงติดตามผลการศึกษา และโปรดเกล้าฯให้พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา และหม่อมเจ้าสิริวัณวรี
      พระราชธิดาทั้งสองพระองค์ทรงร่วมกิจกรรมของโรงเรียนต่างๆ เสมอทั้งนี้ด้วยน้ำพระหฤทัยที่ทรงพระเมตตาห่วงใยเยาวชนผู้ด้อยโอกาส และในด้านอุดมศึกษา พระองค์ได้ทรงพระกรุณาเสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ไปพระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิตของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ปีละเป็นจำนวนมากทุกปี
ด้านสังคมสงเคราะห์ 
       สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงพระกรุณาห่วงใยในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยเฉพาะเยาวชนที่ด้อยโอกาสและขาดแคลน ได้ทรงพระอุตสาหะเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมชุมชนแออัดในกรุงเทพฯหลายแห่ง เช่น ชุมชนแออัดเขตพระโขนง เขตคลองเตย เขตยานนาวา เป็นต้น
      ทรงพระกรุณาพระราชทานเครื่องอุปโภคบริโภค เครื่องกีฬา เครื่องดับเพลิง โปรดเกล้าฯให้กรมทหารในบังคับบัญชาของพระองค์ ร่วมกับประชาชนพัฒนาสิ่งแวดล้อม ทั้งยังพระราชทานพระราชทรัพย์สนับสนุนโครงการของชุมชน เช่น โครงการพัฒนาเด็กเล็กที่ขาดแคลน โครงการปราบปรามยาเสพติดในหมู่เยาวชนชุมชนแออัดคลองเตย เพื่อให้เยาวชนผู้ด้อยโอกาสเหล่านั้นเติบโตเป็นพลเมืองดีและเป็นทรัพยากรบุคคลทีมีคุณค่าในการพัฒนาประเทศต่อไปในอนาคต
ด้านการต่างประเทศ
         การมีสัมพันธไมตรีอันดีกับมิตรประเทศ เป็นรากฐานสำคัญของความสงบสุขและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ สมเด็จพระบรมโอรสาธราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ก็ได้ทรงพระวิริยะอุตสาหะประกอบพระราชกรณียกิจสำคัญๆ ในการเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศต่างๆ เสมอมา ได้เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ไปทรงเยือนมิตรประเทศทั่วทุกทวีปอย่างเป็นทางการเป็นประจำทุกปีปีละหลายครั้งเช่น เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยือนประเทศอิตาลี และทรงพบพระสันตะปาปา
       เมื่อวันที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2525 ระหว่างวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ถึง 8 มีนาคม พ.ศ. 2530 เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการ ทรงพบนายเติ้ง เสี่ยวผิง ณ มหาศาลาประชาคม กรุงปักกิ่ง เสด็จพระราชดำเนินทรงเยือนประเทศญี่ปุ่น ทรงพบสมเด็จพระจักรพรรดิ และสมเด็จพระจักรพรรดินี เมื่อวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2530
ประเทศต่างๆที่เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเจริญสัมพันธไมตรีในฐานะผู้แทนพระองค์และในส่วนของพระองค์เอง มีอีกเป็นจำนวนมาก
        เช่น ประเทศอิหร่าน ประเทศเนปาล สาธารณรัฐสังคมนิยมศรีลังกา สหพันธ์เอกวาดอร์ สาธารณรัฐเฮอลนิก(กรีซ)ประเทศออสเตรเลีย และเมื่อวันที่ 2-4 กรกฏคม พ.ศ. 2542 ได้เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยพระราชธิดาทั้งสองพระองค์ ไป
       ทรงเยือนประเทศสิงคโปร์อย่างเป็นทางการในการเสด็จพระราชดำเนินไปทุกครั้ง ต้องทรงเตรียมพระองค์ด้วยการศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับประเทศที่จะทรงเสด็จไปทรงเยือน และระหว่างประทับอยู่ในประเทศนั้นๆ นอกจากทรงมุ่งมั่นที่จะทรงเจริญสัมพันธไมตรีแล้ว
        ยังทรงสนพระราชหฤทัยในการทอดพระเนตและศึกษากิจกรรมต่าง ๆ ที่จะทรงนำมาเป็นประโยชน์ในการนำมาพัฒนาบ้านเมืองไทยด้วย เช่น เสด็จไปทรงเยี่ยมชมกิจการทหาร การจราจรทางอากาศ เมื่อทรงเยือนประเทศในทวีปอเมริกาใต้ ทอดพระเนตรสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา ศิลปวัฒนธรรม กิจกรรมด้านอุตสาหกรรมและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน เมื่อทรงเยือนสาธารณรัฐสังคมนิยมศรีลังกา ทอดพระเนตรการดำเนินงานด้านการป้องกันสาธารณภัยที่ประเทศเกาหลี เป็นต้น
ด้านการพระศาสนา 
        สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามกุฎราชกุมาร ได้ทรงแสดงพระองค์เป็นพุทธมามกะที่วัดพระศรีรัตนศาสดารามเมื่อวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2509 ก่อนเสด็จพระราชดำเนินไปศึกษาที่ประเทศอังกฤษ และมีพระราชศรัทธาทรงออกผนวชในพระบวรพระพุทธศาสนา เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2521 ระหว่างทรงผนวช ทรงศึกษา และปฎิบัติพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด
         นอกจากนั้นได้เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ ไปปฏิบัติพระราชกิจทางศาสนาเป็นประจำเสมอ เช่น ทรงเปลี่ยนเครื่องทรงพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ตามฤดูกาล เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ไปทรงบำเพ็ญพระราชกุศลในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เช่น วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันอาสาฬหบูชา วันเข้าพรรษา และการถวายกฐินหลวงตามวัดต่างๆ เป็นต้น
ในด้านการศึกษา ทรงปฎิบัติพระราชกรณียกิจ ทั้งในฐานะผู้แทนพระองค์และในส่วนของพระองค์เองนานัปการ เช่น การพระราชทานไฟพระฤกษ์ กีฬาเยาวชนแห่งชาติ พระราชทานพระราชวโรกาสให้นักกีฬาไทยผู้นำความสำเร็จนำเกียรติยศมาสู่ประเทศชาติ เข้าเฝ้าทูลละอองพระบาทรับพระราชทานรางวัลนักกีฬายอดเยี่ยม รับพระราชทานพร และทรงแสดงความชื่นชมยินดี
        ซึ่งนักกีฬาของไทยต่างสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ มีความปลาบปลื้มในสิริมงคลและมีขวัญกำลังใจที่จะนำความสำเร็จและนำเกียรติยศมาสู่ตนเอง สู่วงศ์ตระกูล และประเทศชาติต่อไป และเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2541 ได้เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ไปทรงประกอบพิธีเปิดกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ทำให้นักกีฬามีขวัญและกำลังใจในการแข่งขัน ประสบชัยชนะนำเหรียญรางวัลมาสู่ประเทศไทยเป็นจำนวนมาก
ด้านการทหาร 
       สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร ทรงสนพระราชหฤทัยในวิทยาการด้านการทหาร มาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ นอกจากทรงรับการศึกษาทางด้านการทหารจากประเทศออสเตรเลียแล้ว ยังทรงพระวิริยะอุตสาหะในการเพิ่มพูนความรู้และพระประสบการณ์อยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะในด้านวิทยาการการบิน
        กล่าวคือ ระหว่างเดือนมกราคม ถึง ตุลาคม พ.ศ. 2519 ทรงเข้ารับการฝึกเพิ่มเติม และทรงศึกษางานทางการทหารในประเทศออสเตรเลีย โดยทุนกระทรวงกลาโหม ทรงประจำการ ณ กองปฎิบัติการทางอากาศพิเศษ การทำลายและยุทธวิธีรบนอกแบบ หลักสูตรต้นหนชั้นสูง
        หลักสูตรการลาดตระเวนและต้นหนชั้นสูง หลักสูตรส่งทางอากาศ เดือน ธันวาคม พ.ศ. 2522 – มกราคม พ.ศ. 2523 ทรงเข้ารับการศึกษาหลักสูตรการบินเฮลิคอปเตอร์ใช้งานทั่วไป แบบ ยู เอช – 1 เอช และหลักสูตรการฝึกบิน เฮลิคอปเตอร์โจมตี แบบ เอ เอช – 1 เอส คอบรา ของบริษัทเบบล์ นอกจากนั้นยังทรงเข้าการศึกษาหลักสูตรต่างๆ ทางด้านการบินอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งจะทรงเห็นได้ว่า พระองค์ท่านมีพระประสบการณ์และทรงเชี่ยวชาญการบินในระดับสูงมาก
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามกุฎราชกุมาร ทรงรับราชการทหารมาโดยตลอด นับแต่เมื่อวันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2518 ทรงเข้าเป็นนายทหารประจำกรมข่าว ทหารบก กระทรวงกลาโหม
วันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2521 ทรงดำรงตำแหน่ง รองผู้บังคับกองพันทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์
วันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2523 ทรงดำรงตำแหน่งผู้บังคับกองพันทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์
วันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2527 ทรงดำรงตำแหน่ง ผู้บังคับการ กรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์
วันที่ 30 กรกฏาคม พ.ศ. 2531 ทรงดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ วันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2535 ทรงดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ สำนักผู้บัญชาการทหารสูงสุด
      และเนื่องด้วยพระองค์ทรงพระปรีชาชาญในวิทยาการด้านการบิน ทรงรอบรู้เทคนิคสมัยใหม่ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ เคยทรงเข้าร่วมการแข่งขันการใช้อาวุธทางอากาศ ณ สนามฝึกใช้อาวุธทางอากาศชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี และทรงชนะเลิศการแข่งขัน เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2530
         พระองค์ทรงมีชั่วโมงฝึกบินอย่างต่อเนื่องสูงมาก และถือว่าเป็นสิ่งที่ยากสำหรับนักบินทั่วโลกจะทำได้ พระองค์ทรงพระกรุณาปฎิบัติหน้าที่ครูการบินเครื่องบินขับไล่ แบบ เอฟ – 5 อี/เอฟ ตั้งแต่วันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ.2537 เป็นต้นมา นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณ และเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งของกองทัพไทย และปวงชนชาวไทย
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงดำรงพระยศทางทหารของ 3 เหล่าทัพ คือ พลเอก พลเรือเอก และพลอากาศเอก และได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจด้านการทหาร โดยทรงเข้าร่วมปฏิบัติการรบในการต่อต้านการก่อการร้ายในภาคเหนือ และภาคตระวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย
       รวมทั้งการคุ้มกันพื้นที่ในบริเวณรอบค่ายผู้อพยพชาวกัมพูชา ที่เขาล้าน จังหวัดตราด ด้วย ซึ้งแม้เป็นพระราชภารกิจที่ต้องทรงเสี่ยงภยันตราย แต่ด้วยความที่ทรงเป็นชาติชายทหาร และเป็นพระราชภารกิจเพื่อความผาสุกของพสกนิกร และเพื่อมนุษยธรรมต่อผู้ประสบทุกข์ยาก จึงทรงปฏิบัติพระราชภารกิจดังกล่าวโดยเต็มพระราชกำลัง
รถยนต์พระที่นั่ง 
สังกัดกองพระราชพาหนะ วังศุโขทัย
 * โรลส์-รอยซ์ แฟนทอม VI เลขทะเบียน ร.ย.ล.904
  * โรลส์-รอยซ์ แฟนทอม VI เลขทะเบียน ร.ย.ล.2
  * โรลส์-รอยซ์ ซิลเวอร์ สปอร์ ลิมูซีน เลขทะเบียน ร.ย.ล.4  * โรลส์-รอยซ์ ซิลเวอร์ สปอร์ ลิมูซีน เลขทะเบียน ร.ย.ล.5
  * เมอร์ซิเดส-เบนซ์ เอส 600 LWB รหัสตัวถัง ดับเบิลยู 221 พร้อมชุดแต่ง เอเอ็มจี เลขทะเบียน ร.ย.ล.8
บทเพลงสดุดีจอมราชา


ความคิดเห็น
ถ้าเราเห็นว่าสิ่งที่คนอื่นทำนั้นมันผิดหลักความรักชาติ ก็อย่าเพิ่งตัดสินว่ามันผิดโดยใช้แค่ความคิดของตนเองหรือพวกมาตัดสินควรฟังจากหลายๆฝ่าย เพื่อนำเอาหลายๆเหตุผลมาวิเคราะห์ร่วมกัน เพราะว่าคนที่อยู่กลุ่มเดียวกันจะมีอคติหรือแนวคิดเหมือนๆกันถ้าใช้สิ่งนั้นมาตัดสินมันก็จะออกมาในทำนองเดียวกัน มันก็เหมือนๆกับการไปถามคนรวยว่ามีเงินเดือนเท่าไร แล้วนำมาตัดสินว่าคนทั้งประเทศมีเงินเดือนเท่านั้น และก็ควรระวังความคิดของตนที่ัยังไม่ผ่านการกรองไปก็ให้ระวัง เพราะบางอย่างอาจส่งผลเสียต่อประเทศเสียมากกว่า 
แหล่งอ้างอิง :http://www.photoontour.com 

เทคโนโลยี4.0

เทคโนโลยี4.0                  “ดิจิทัล 4.0” และ “ดิจิทัลไทยแลนด์” เป็นวลีที่คนไทยเริ่มจะได้ยินบ่อยขึ้นในช่วงหลายปีมานี้ หลายคนอาจจะสงสัย...